วัดบ้านจอมพระ วัดจอมพระ ตั้งอยู่ที่ หมู่1 ตำบลบึงบอน อำเภอยางชุมน้อย จังหวัดศรีสะเกษ วัดสำคัญของชุมชนบ้านบึงบอน ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2251 ในการประกอบศาสนกิจ พิธีกรรมทางศาสนา ศูนย์รวมที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้านบึงบอนตลอดพุทธศาสนิกชน วัดสวย สะอาด  ภายในวัดเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อโตวัดจอมพระ ตำนานพระองค์ใหญ่ หลวงพ่อโตที่หันหน้าไปทางตะวันตก พระพุทธรูปโบราณ ปางมารวิชัย  พระพุทธรูปเก่าแก่ราว 600 ปี เจดีย์จำลอง "สุวรรณมาลิก" สถาปัตยกรรมจำลองจากศรีลังกา ที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจำลอง เพื่อเป็นพุทธบูชา และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจพุทธศาสนิกชน ปัจจุบัน มีพระอธิการอนุวัตร สันตมโน เป็นเจ้าอาวาสวัด มีพระสงฆ์จำพรรษา 5 รูป

[167/0][2025-01-16]

ที่พัก ศรีสะเกษ ราคาถูก 1. โรงแรมพรสิริ (Pornsiri Hotel) ที่พักราคาประหยัดในจังหวัดศรีสะเกษ บริการห้องพักสะอาดน่าอยู่ กว้างขวาง เพรียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่เตรียมไว้คอยบริการท่าน สะดวกสบายต่อการเดินทางไปมา  ราคา 570-600 บาท   2. โรงแรมเดอะเอสพี (The SP Hotel)  โรงแรมที่ถูกออกแบบมาอย่างทันสมัย ห้องพักน่านอน ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ลงตัว มีบรรยากาศที่ดีชวนให้ผ่อนคลาย พร้อมด้วยบริการที่แสนจะเป็นกันเองและราคาไม่แพง ราคา 620 บาท   3. โรงแรมบ้านลานลูกไม้ (Ban Lanlookmai Hotel)  โรงแรมบ้านลานลูกไม้ ที่พักที่จะทำให้ท่านได้มากว่าการพักผ่อน สัมผัสบรรยากาศดีๆ ล้อมรอบไปด้วยธรรมชาติ ให้ท่านได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่ในวันหยุดสุดพิเศษ ราคา 700 บาท    4. โรงแรมศรีลำดวน  (Srilamduan Hotel) โรงแรมที่จะทำให้ท่านรู้สึกเหมือนพักผ่อนอยู่บ้าน ด้วยบรรยากาศที่แสนอบอุ่น บริการที่เป็นมิตรของพนักงาน ห้องพักหรูหรา โปร่งโล่งสบาย ไม่อึดอัด และด้วยทำเลที่ตั้งของทางโรงแรม ม ทำให้สะดวกในการเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางในตัวเมือง ราคา 775-775 บาท   5. โรงแรมพรหมพิมาน (Prompiman Hotel) โรงแรมใจกลางเมืองศรีสะเกษ สะดวกสบายในการติดต่อธุรกิจ หรือเดินทางสู่แหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญต่างๆ และจะทำให้ท่านรู้สึกอบอุ่นด้วยการต้อนรับ และแสนจะประทับใจไปกับบริการที่เป็นมิตร ราคา 850-1,750 บาท    6. บ้านสวนราชาวดี รีสอร์ท (Bannsuanrachawadee Resort) รีสอร์ทที่เหมาะแก่การมาพักผ่อน ให้ท่านได้ผ่อนคลายไปกับธรรมชาติที่ล้อมรอบบริเวณรีสอร์ท และสวนดอกไม้สวยงาม  ห้องพักทุกห้องประกอบด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน ราคา 1,000 บาท   7. โรงแรมวิจิตรนคร (Vijitnakorn Nonpak Hotel) โรงแรมที่ได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่มีความลงตัว ไม่ว่าจะเดินทางเพื่อติดต่อธุรกิจหรือท่องเที่ยววันหยุดก็สามารถเพลิดเพลินไปกับการบริการและสิ่งอำนวยสะดวกของโรงแรมได้อย่างเต็มที่ ราคา 1,100-1,400 บาท

[1565/0][2015-07-14]

งานเทศกาลดอกลำดวนบาน เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณี สี่เผ่าไทศรีสะเกษ และส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดศรีสะเกษ โดยเฉพาะการสัมผัสดอกลำดวนบานในเชิงธรรมชาติและวรรณคดี จังหวัดศรีสะเกษเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีต้นลำดวนที่ขึ้นตามธรรมชาติอยู่รวมกันหนาแน่นมากกว่า ๕๐,๐๐๐ ต้น ภายในสวนสมเด็จศรีนครินทร์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสวนสมเด็จแห่งแรกของประเทศไทย ในช่วงเดือนมีนาคมของทุกๆ ปี ดอกลำดวนจะผลิดอกลำดวนเบ่งบาน ส่งกลิ่นหอมเย็นอบอวลไปทั่วบริเวณพื้นที่ กว่า ๒๓๗ ไร่ ซึ่งนับว่าหาชมที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากที่นี่ ที่เดียว อีกทั้งจังหวัดศรีสะเกษยังมีวิถีชีวิต วัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชนสี่เผ่า คือ ลาว เขมร กูย และเยอ อาศัยอยู่ร่วมกันจากอดีตจนถึงปัจจุบัน กิจกรรมในงานได้แก่ วัฒนธรรมประเพณีวิถีชีวิตของชนสี่เผ่า ภายในหมู่บ้านลาว เขมร กูย และเยอการแสดงวัฒนธรรมสี่เผ่า นิทรรศการภาพเก่า การแสดงภาพวาดของศิลปินในท้องถิ่น การประกวดวาดภาพ การเล่าเรื่องจากวิถีชีวิตศรีสะเกษ กิจกรรมลานส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP และภาคค่ำร่วมรับประทานอาหารพื้นเมืองแบบพาแลงพร้อมชม การแสดง แสง สี เสียง “ศรีพฤทเธศวร” ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา ด้วยนักแสดงกว่า ๘๐๐ ชีวิต ที่มาร่วมถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีของชนเผ่าทั้งสี่เผ่า และตำนานการสร้างเมืองศรีสะเกษ ซึ่งจะสร้างความประทับใจมิรู้ลืม พิเศษสุด สำหรับท่านที่มีคู่มือท่องเที่ยวโครงการ “เที่ยวอีสานใต้ได้โชค” ควรเดินทางไปร่วมงาน “เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่าไทศรีสะเกษ” แวะประทับตราสัญลักษณ์สวนสมเด็จศรีนครินทร์ (๑ ใน ๙ แหล่งท่องเที่ยวตามโครงการ “เที่ยวอีสานใต้ได้โชค”) ได้ ณ ห้องอำนวยการ ที่ทำการสวนสมเด็จศรีนครินทร์ และร่วมลุ้นโชค ๓ ชั้นกับ ททท. สำนักงานสุรินทร์ได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึง ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ข้อมูลและรูปภาพจาก thai.tourismthailand.org

[1878/0][2015-05-29]

งานเทศกาลเงาะ ทุเรียน และ ของดีศรีสะเกษ เงาะ – ทุเรียน จ.ศรีสะเกษ เป็นผลิตผลทางการเกษตรมีคุณภาพสูง ด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาไฟอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุต่างๆ เหมาะแก่การทำเกษตรโดยเฉพาะเงาะพันธุ์โรงเรียน ที่มีลักษณะเด่นคือ ผิวเปลือกแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำจนเกินไป เนื้อเงาะมีรสหวาน และทุเรียนพันธุ์หมอนทองที่มีเนื้อแน่น รสชาติหวานมัน โดยเฉพาะที่บ้านซำตารมย์ อ.กันทรลักษ์ และบ้านซำขี้เหล็ก อ.ขุนหาญ ที่นับเป็นแหล่งผลิตแหล่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อีกทั้งยังสร้างรายได้ให้เกษตรกรไม่น้อยกว่าปีละ 340 ล้านบาท ซึ่งยังไม่นับรวมมูลค่าผลิตผลชนิดอื่นๆ อาทิ ลำไย ลองกอง มังคุด กระท้อน สะตอ ฝรั่ง และข้าวโพด ที่สามารถทำรายได้เข้าสู่จังหวัดเป็นมูลค่ามหาศาลอีกด้วย

[1136/0][2015-05-29]

แข่งขันเรือยาวประเพณีชิงถ้วยพระราชทาน จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ โดย อำเภอราษีไศล ร่วมกับสำนักงานเทศบาลตำบลเมืองคง องค์การบริหารส่วนตำบล และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจังหวัดศรีสะเกษ กำหนดจัดงาน “แข่งขันเรือยาวประเพณีชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ประจำปี ๒๕๕๔ ระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔ ณ ลำน้ำมูล อำเภอราษีไศล จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นเกี่ยวกับวัฒนธรรมแห่งสายน้ำ และเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดศรีสะเกษ นางสาวบุณยานุช วรรณยิ่ง ผู้อำนวยการสำนักงานสุรินทร์ (ททท.) กล่าวว่า ลำน้ำมูลเป็นเสมือนสายเลือดใหญ่ของชนชาวอีสาน เริ่มจากจังหวัดนครราชสีมาและไหลผ่านจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ก่อนจะไปบรรจบกับลำน้ำชีและไหลลงสู่ลำน้ำโขง ที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ดังนั้นสายน้ำแห่งนี้จึงเต็มไปด้วยประชาชน ที่อาศัยอยู่ริมน้ำสองฝั่งที่ดำเนินชีวิตคู่ไปกับสายน้ำแห่งนี้ก่อเกิดวิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีมากมาย อาทิเช่น การร่ายรำประกอบเครื่องสะไน (เซิ้งสะไน) ของจังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งมีความเชื่อและศรัทธาต่อสายน้ำมูลของชนชาวลุ่มน้ำ เชื่อว่าเจ้าพ่อดงภูดินเป็นผู้ดูแลแม่น้ำแห่งนี้และคอยบันดาลน้ำให้ผลผลิตชองชาวบ้านแถบลุ่มลำน้ำมูลให้อุดมสมบูรณ์ ดังนั้นเพื่อเป็นการตอบแทนจึงมีการสร้างศาลและได้นำเรือยาวมาแข่งขันบวงสรวงถวายศาลเจ้าพ่อดงภูดินและมีการสืบทอดต่อๆ กันมาจนกลายเป็นประเพณีและวัฒนธรรมที่สืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน ททท. จึงขอเชิญชวนทุกท่านได้มาสัมผัสวัฒนธรรมแห่งสายน้ำและร่วมเชียร์ความเป็นหนึ่งแห่งลำน้ำมูลในงาน “แข่งขันเรือยาวประเพณีชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” ประจำปี ๒๕๕๔ ระหว่างวันที่ ๑๖ – ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔ ณ ลำน้ำมูล อำเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ” กิจกรรมในงานมี ดังนี้ • ขบวนเรือพิธีอัญเชิญถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ • การแข่งขันเรือหาปลา ๕ ฝีพาย รุ่นเยาวชนท้องถิ่น • การแข่งขันเรือยาว ๔๐ ฝีพาย (เรือยาวท้องถิ่นในเขตราศีไศล – ศิลาลาด) • การแข่งขันเรือยาว ๔๐ ฝีพาย ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ • การแข่งขันเรือยาว ๔๐ ฝีพาย ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเด (รอบชิงชนะเลิศ วันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. – ๑๖.๐๐ น.) • การประกวดธิดาแม่ย่านาง (ในคืนวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๔) • การประกวดร้องเพลงไทยลูกทุ่งและประกวดวงดนตรีสตริงทุกวันในช่วงงานตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐ น. เป็นต้นไป และการออกร้านจำหน่ายสินค้า OTOP จากชุมชนหมู่บ้านในเขตอำเภอราษีไศลและจังหวัดศรีสะเกษ ข้อมูลและรูปภาพจาก tatnewsthai.org

[930/0][2015-05-29]

งานเทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณีสี่เผ่าไทศรีสะเกษ การแสดงศิลปวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของชนสี่เผ่า (ลาว เขมร กวย เยอ) การประกวดการแสดงศิลปะท้องถิ่น เช่น การร้อยมาลัยดอกลำดวน การประกวดร้องเพลงลูกทุ่งประกอบจินตลีลา การแสดงและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP

[900/0][2015-05-29]

งานสงกรานต์จังหวัดศรีสะเกษ การทำบุญตักบาตรตอนเช้า ขบวนแหรถนางสงกรานต์และผู้สูงอายุ ถวายภัตตาหารเพล พิธีรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ภาพจาก wikalenda.com

[879/0][2015-05-29]

เทศกาลดอกลำดวนบาน จังหวัด ศรีสะเกษ ททท. ขอเชิญสัมผัสวัฒนธรรมประเพณีสี่เผ่า เคล้าดอกลำดวน ในงาน "เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณี สี่เผ่าไทยศรีสะเกษ" จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กำหนดการจัดงาน "เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณี สี่เผ่าไทศรีสะเกษ" ประจำปี 2554 ระหว่างวันที่ 11 13 มีนาคม 2554 ณ บริเวณสวนสมเด็จศรีนครินทร์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพื่ออนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีสี่เผ่าไทยศรีสะเกษและส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัดศรีสะเกษ เมืองดอกสำดวน เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษ ด้วยเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีต้นลำดวนขึ้นตามธรรมชาติ อยู่รวมกันหนาแน่นมากกว่า 50,000 ต้น ภายในบริเวณสวนสมเด็จศรีนครินทร์ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นสวนสมเด็จแห่งแรกของประเทศไทย และช่วงเดือนมีนาคมของทุกปี เหล่าต้นลำดวนจะพากันผลิดอกเบ่งบานส่งกลิ่นหอมเย็นทั่วพื้นที่ 237 ไร่ของสวนสมเด็จศรีนครินทร์ นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาร่วมงาน "เทศกาลดอกลำดวนบาน สืบสานประเพณี สี่เผ่าไทศรีสะเกษ" จะได้สัมผัสกับความงดงามของดอกลำดวนท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นชื่นชมวัฒนธรรมประเพณีของชนสี่เผ่า ได้แก่ เขมร กวย ลาว และเยอ ซึ่งถ่ายทอดวิถีชีวิตผ่านหมู่บ้านวัฒนธรรมและการแสดงพื้นบ้าน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรม การจำหน่ายกิ่งพันธุ์ต้นลำดวน, การสาธิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP, นิทรรศการภาพเก่า, การแสดงภาพวาดของศิลปินในท้องถิ่น, การประกวดวาดภาพ, การเล่าเรื่องจากวิถีชีวิตศรีสะเกษ, กิจกรรมลานส้มตำ ข้าวเหนียว ไก่ย่าง, การรับประทานอาหารพื้นเมืองแบบพาแลง พร้อมรับชมการแสดงแสง สี เสียง "ศรีพฤทเธศวร" ในเย็นวันที่ 11 12 13 มีนาคม 2554 ข้อมูลthai.tourismthailand.org

[725/0][2015-05-29]

พระธาตุเรืองรอง พระธาตุเรืองรอง เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่ ประชาชนชาวพุทธศาสนา ให้ความเคารพสักการะ บูชา โดยพระธาตุเรืองรองมีสถานที่ ตั้งอยู่ที่บ้านสร้างเรือง ตำบลหญ้าปล้อง ห่างจากเมืองไปตามทางหลวงหมายเลข 2373 สายศรีสะเกษ-ยางชุมน้อย ประมาณ 7.5 กม. เป็นพระธาตุที่สร้างขึ้นโดยผสมศิลปอีสานใต้ สี่เผ่าไทย ได้แก่ ลาว ส่วย เขมร เยอ มีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์อย่างลงตัว ทำให้มีความสวยงาม พระธาตุมีความสูง 49 เมตร แบ่งออกเป็น 6 ชั้น ชั้นล่างสุดใช้สำหรับประกอบพิธีทางศาสนา ชั้นที่ 1 ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา ชั้นที่ 2-3 ทำเป็นพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านชนสี่เผ่าไทยของศรีสะเกษ คือ เขมร ส่วย ลาว เยอ ชั้นที่ 4 ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ   ชั้นที่ 5 ใช้สำหรับการทำสมาธิ และ ชั้นที่ 6 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ (เส้นผมพระอรหันต์) และเป็นที่ชมทัศนียภาพของพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ทัศนียภาพของพื้นที่โดยรอบ   นับได้ว่าเป็นสถานที่ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากเป็นที่ประดิษฐาน เช่น พระบรมสารีริกธาตุ (กระดูกพระพุทธเจ้า หรือของพระอรหันต์สาวก) พระบรมเกศาธาตุ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นที่ สักการะกราบไหว้ เป็นที่ยึดเหนี่ยว จิตใจของชาวพุทธ ได้เป็นอย่างดี    วัตถุประสงค์ในการสร้าง เพื่อเป็นที่ประดิษฐานสิ่งที่ชาวพุทธถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ (กระดูกพระพุทธเจ้าหรือของพระอรหันต์สาวก) พระบรมเกษาธาตุ เป็นต้น เป็นที่บูชา กราบไว้สักการะ เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของชาวพุทธทั่วๆ ไป เป็นที่เก็บวัตถุโบราณทุกชนิดเท่าที่จะหามาได้ เป็นที่ศึกษาค้นคว้าทางวัตนธรรมประเพณีชาวอีสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ "อีสานใต้" เป็นสถานที่ประชุมทั้งชาววัด ชาวบ้าน ทั้งราชการ และสาธารณชน เป็นที่ศึกษาอบรมธรรมวินัยแก่ชาวพุทธทั่วๆ ไป ฯลฯ      สาเหตุที่มาสร้างที่จังหวัดศรีสะเกษ เนื่องจากว่าชาวพุทธในถิ่นอีสานใต้ส่วนมากมีฐานะค่อนข้างยากจน บางคนจะเดินทางไปนมัสการปูชนียสถาน เช่น พระธาตุพนม จังหวัดนครพนมก็ห่างไกลถึง 400 กิโลเมตร จะไปที่พระเจดีย์นครปฐมก็ไกลจากที่นี่ถึง เกือบ 700 กิโลเมตร จะไปที่พระพุทธบาทสระบุรีก็ไกลถึง 500 กว่ากิโลเมตร ถ้าจะไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพที่เชียงใหม่ก็ยิ่งไกลออกไปอีกประมาณ 1 พันกิโลเมตรเศษ คิดแล้วคิดอีกก็ไปไม่ได้ เนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เพียงพอนั่นเอง ตายไปหลายชั่วคนแล้วก็ไม่มีโอกาส   ฉะนั้น จึงได้ตัดสินใจสร้างขึ้นที่อีสานใต้คือที่จังหวัดศรีสะเกษแห่งนี้ และที่สำคัญอีกอันหนึ่งก็คือ ณ บ้านสร้างเรืองแห่งนี้เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ผู้ริเริ่มสร้างพระธาตุองค์นี้ (พระธัมมา พระมหาธัม จิตตปัญโญ หลวงปู่ธัมมา พิทักษา หรือพระครูวิบูล ธรรมภาณ (พ.ศ.2545)

[3788/0][2015-05-29]

วัดมหาพุทธาราม วัดมหาพุทธาราม เป็นวัดเก่าแก่ ตั้งมาก่อนเมืองศรีสะเกษ โดยเดิมเรียกว่า “วัดป่าแดง” ภายหลังได้ถือเอาพระพุทธรูปโบราณศักดิ์สิทธิ์ เป็นสำคัญ จึงได้เปลี่ยนเป็น “วัดพระโต” ตามลักษณะของพระพุทธรูปแต่นั้นมา  เมื่อปี พ.ศ. 2495 ได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “วัดมหาพุทธาราม” และได้เป็นวัดพัฒนาตัวอย่างมาโดยลำดับ เคยเป็นวัดที่มีเจ้าคณะจังหวัดฝ่ายมหานิกายปฏิบัติศาสนกิจหลายรูป และปัจจุบันวัดมหาพุทธาราม ได้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัด และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดศรีสะเกษด้วย  หลวงพ่อโต  ประดิษฐานอยู่ในวิหารหลวงพ่อโตวัดมหาพุทธารามปัจจุบันนี้ ในตำนานเมืองศรีสะเกษเล่าว่า มีการค้นพบหลวงพ่อโตในสมัยสร้างเมืองใหม่ ที่ “ดงไฮสามขา” หลวงพ่อโตที่พบมีสภาพเป็นตุ๊กตาหิน ขนาดเท่าแทน แต่พอไปวัดโดยการโอบด้วยแขนกลับขยายใหญ่ขึ้นจนโอบไม่หุ้ม ดังตำนานเล่าว่า “ที่ตั้งวัดพระโต มีป่าเครือมะยางร่มครื้มหนาแน่น ในขณะที่ถางป่านั้นได้พบตุ๊กตาหินรูปหนึ่ง มีลักษณะคล้ายพระพุทธรูป เล่ากันว่า ตุ๊กตาหินองค์นี้มีอภินิหารเป็นพิเศษ คือเมื่อมองดูจะเห็นเป็นรูปเล็ก ๆ เท่าแขนคนธรรมดา แต่พอเข้าไปกอดเข้ากลับโอบไม่รอบ พวกราษฎรพากันฉงนยิ่งนัก จึงไปบอกอาจารย์ศรีธรรมาผู้เป็นใหญ่ เมื่อรู้ว่าเป็นจริงก็เลยทำพิธีสมโภชกันขนานใหญ่ และขนานนามตุ๊กตาหินองค์นี้ว่า “พระโต” ซึ่งต่อมาได้นำอิฐหรือปูนสร้างเสริมให้ใหญ่จริงๆ ดังที่เห็นกันในปัจจุบัน (จากวัฒนธรรมพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ เอกลักษณ์และภูมิปัญญา จังหวัดศรีสะเกษ หน้า 156) แต่ตำนานที่ค่อนข้างสอดคล้องกับประวัติศาสตร์เมืองศรีสะเกษ จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางเล่ากันว่า หลวงพ่อโตองค์จริงนั้น ถูกหุ้มอยู่ข้างใน เป็นพระพุทธรูปหินดำเกลี้ยง (บางแห่งว่าหินเขียว บางแห่งว่าหินแดง) ปางมารวิชัย (ปางสะดุ้งมาร) เดิมมีหน้าตักกว้างยาว 2.50 เมตร ต่อมากลัวว่าพวกมิจฉาชีพจะทำให้เสียหาย จึงมีผู้ศรัทธาหุ้มเสริมองค์จริงเข้าไปหลายครั้ง จนถึงปัจจุบันนี้ มีขนาดหน้าตัก 3.50 เมตร ความสูงตั้งแต่พระเกศาลงมา 6.85 เมตร เมื่อพุทธศักราช 2509 ได้มีการสร้างวิหารใหญ่ครอบซึ่งมีความกว้าง 14.00 เมตร ยาว 40 เมตร ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน จึงพอที่จะสรุปได้ว่า มีการค้นพบหลวงพ่อโตเมื่อ พระยาวิเศษภักดี (ชม) ย้ายเมืองมีตั้งใหม่ในสถานที่ที่เป็นจังหวัดศรีสะเกษปัจจุบัน และได้สร้างวัดพระโตเป็นวัดคู่เมืองศรีสะเกษขึ้น ในปีพ.ศ. 2328 และนับถึงปัจจุบันนี้ (พ.ศ. 2550) วัดพระโตมีอายุ 220 ปี วัดมหาพุทธาราม (วัดพระโต) ได้ชื่อว่าเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษ เนื่องจากในปี พ.ศ. 2328 เป็นปีที่เจ้าเมืองศรีสะเกษคนที่ 2 พระยาวิเศษภักดี (ชม) ได้ย้ายเมืองศรีสะเกษ จากที่ตั้งเดิมบ้านโนนสามขาสระกำแพงมาตั้งที่บริเวณที่เป็นศาลหลักเมืองในปัจจุบัน ในขณะที่สร้างเมืองนั้น มีคนไปพบหลวงพ่อโต ภายในใจกลางป่าแดง (ขณะนั้นบริเวณวัดพระโตเป็นป่าแดง) จึงได้อุปถัมภ์บำรุง โดยให้สร้างวัดขึ้นบริเวณที่พบหลวงพ่อโต ตั้งชื่อว่า “วัดพระโต หรือวัดป่าแดง” ได้จัดหาพระสงฆ์ผู้ทรงคุณวุฒิมาปกครอง ก่อสร้างเสนาสนะที่จำเป็นต่างๆ และ เจ้าเมืองศรีสะเกษคนต่อ ๆ มาไม่ว่าเจ้าพระยาวิเศษภักดี (โท) หรือเจ้าพระยาวิเศษภักดี (บุญจันทร์) เป็นต้น ก็ได้อุปถัมภ์เอาใจใส่บำรุงวัดพระโตเสมือนเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองศรีสะเกษตลอดมา ตราบเท่าที่ศรีสะเกษได้กลายเป็นจังหวัด ตามกฎหมายแบ่งเขตการปกครอง ซึ่งเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเจ้าเมืองใหม่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกคนต่างก็ให้ความเคารพยำเกรง เมื่อมาดำรงตำแหน่งใหม่ก็ถือเป็นประเพณีที่ต้องมาทำพิธีบูชาสักการะหลวงพ่อโตในวิหารก่อนเสมอ ต่อมาในปี พ.ศ. 2491 คณะสงฆ์ศรีสะเกษซึ่งมีพระชินวงศาจารย์ (มหาอิ่ม คณะธรรมยุติ)  ซึ่งเป็นเจ้าคณะจังหวัดศรีสะเกษขณะนั้น  ดำริจะเปลี่ยนชื่อวัดพระโตหรือวัดป่าแดงเป็น วัดมหาพุทธวิสุทธาราม แต่คณะกรรมการสงฆ์จังหวัด ได้พิจารณาเห็นควรเพียงชื่อว่า วัดมหาพุทธารามจึงได้ชื่อ “วัดมหาพุทธาราม”มาแต่บัดนั้น(ทั้งนี้ตามบันทึกของมหาประยูร วัดมหาพุท- ธาราม) ในขณะนั้น มีวัดเก่าแก่ที่มีอายุใกล้เคียงกัน รายล้อมวัดมหาพุทธารามอยู่ทุกๆ ด้าน เหมือนเป็นปราการเฝ้าระวังของนครหลวง อยู่ 5 วัด คือ วัดหลวงศรีสุมังค์ หรือวัดหลวงสุมังคลาราม พระอารามหลวงปัจจุบัน, วัดท่าโรงช้าง ต่อมาได้ชื่อใหม่ว่า วัดท่าวิเศษกุญชร หรือวัดศรีมิ่งเมือง ปัจจุบัน, วัดท่าเหนือ ร้างมานานแล้ว ปัจจุบันเห็นแต่เพียงต้นโพธิ์ใหญ่บริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษเขตของวัดอยู่บริเวณฝั่งห้วยสำราญใกล้ ๆเรือนจำจังหวัดศรีสะเกษ ปัจจุบัน, วัดเลียบ ร้างมานานเหมือนกัน ทางรัฐบาลเคยเช่าตั้งเป็นโรงไฟฟ้าอยู่คราวหนึ่ง ต่อมาจึงเป็นวัดเลียบบูรพาราม ,วัดเจียงอีศรีมงคลวรารามพระอารามหลวง ซึ่งเป็นวัดใหญ่อีกวัดหนึ่งที่มีความสำคัญในทางการปกครองสงฆ์มาจนถึงปัจจุบันนี้  

[3527/0][2015-05-29]

วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว วัดล้านขวด วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว หรือวัดล้านขวด ตั้งอยู่ในเขตสุขาภิบาล ภายในตกแต่งด้วยขวดแก้วหลากสีนับล้านใบที่ชาวบ้านได้ช่วยกันบริจาค นับเป็นวัดที่มีลักษณะสวยงามแปลกตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลาใหญ่ที่เรียกว่า ศาลาฐานสโมสรมหาเจดีย์แก้วซึ่งมีความวิจิตรงดงามมาก ที่วัดป่ามหาเจดีย์แก้ว หรือที่ชาวบ้านในอำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษรู้จักกันดีในชื่อวัดล้านขวดที่เขาเรียก กันแบบนี้ก็เป็นเพราะว่า สถานที่ต่าง ๆ ภายในวัดล้วนแต่ถูกประดับประดาไป ด้วยขวด เริ่มตั้งแต่ทางเข้าวัดทั้งกำแพงซุ้ม ประตูโบสถ์ ศาลา หอระฆัง กุฏิ หรือแม้แต่ห้องน้ำ ก็ยังถูกตบแต่งด้วยขวดเช่นกัน  นอกจากความงดงามแปลกตาของขวดที่สลับสี และการวางลวดลายแล้วเรายังทึ่งกลับความคิดในการนำฝาขวดมาปะติดจนได้เป็นภาพพุทธประวัติที่ไม่เหมือนที่ใดอีกด้วย

[3702/0][2015-05-29]

ปราสาทตำหนักไทร ปราสาทตำหนักไทร หรือ ปราสาทขุนหาญ ตั้งอยู่ที่ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ เป็นปราสาทขนาดเล็ก มีลักษณะปรางค์เดี่ยวรูปสี่เหลี่ยมย่อมุม หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตัวปรางค์ก่อด้วยอิฐ ส่วนกรอบประตูและทับหลังทำด้วยหินทราย บริเวณทางเข้ามีสิงห์จำหลักสองตัวเหนือประตูทางเข้ามีทับหลังรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ อายุราวพุทธศตวรรษที่ 16 กล่าวถึงเรื่องราวของพรานป่า ซึ่งได้ฆ่างูแล้วตัดเขี้ยวงูมาถวายพระเจ้าแผ่นดิน  จึงต้องสร้างปราสาทตำหนักไทร ไว้เก็บเขี้ยวงูมิฉะนั้นจะเกิดอาเพศ เรื่องมีอยู่ว่า นานมาแล้วพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งทรงครองเมืองตั้งอยู่ที่บ้านดอนข่า (ต.พราน อ.ขุนหาญ)  มีพระประสงค์จะเสวยเนื้อ  จึงได้ทรงเกณฑ์พรานหาเนื้อมาถวาย   โดยผลัดเปลี่ยนเวรกันไปเป็นรอบๆละ 7 วัน  พรานคนหนึ่งอยู่บ้านพราน (ต.พราน อ.ขุนหาญ)  รับเวรออกล่าสัตว์เกือบครบกำหนดจะ 7 วันแล้ว ก็ยังหาเนื้อไปถวายไม่ได้   ซึ่งหากหาเนื้อไปไม่ได้จะถูกประหารชีวิต   พอถึงวันที่ 7  พรานได้มาพบงูใหญ่ตัวหนึ่งจึงตัดสินใจยิงงู แต่งูยังไม่ทันตาย จึงวิ่งไล่นายพรานจนมาถึงหนองน้ำแห่งหนึ่ง งูตามมาทันและกัดนายพรานตาย พวกบรรดาเหลือบริ้นยุงก็ได้กัดดูดเลือดนายพรานกิน จนพิษงูหมด นายพรานจึงฟื้นขึ้นมา และเดินตามรอยงูไปถึงถ้ำพระพุทธ ซึ่งอยู่เชิงเขาพนมดงเร็ก และตัดเขี้ยวงูไปถวายพระเจ้าแผ่นดิน  ต่อมาบ้านเมืองเกิดความเดือดร้อน โหรจึงทำนายว่าจะต้องสร้างปราสาทไว้เก็บเขี้ยวงู  พระราชาจึงสร้างปราสาทตำหนักไทรขึ้น หนองน้ำที่นายพรานถูกงูไล่จึงเรียกว่าหนองสิ ซึ่งแปลว่า เหลือบ ริ้น ยุง  ปัจจุบันหนองน้ำนี้อยู่ข้างอ.ขุนหาญ  ถ้ำพระพุทธอยู่เชิงเขาพนมดงเร็กชายแดนไทย - กัมพูชา  รอยงูที่ไล่นายพรานแล้วเลื้อยกลับไปยังถ้ำพระพุทธนั้น ปัจจุบันเป็นรอยคดเคี้ยวไปมาจนถึงถ้ำพระพุทธ  แนวทางนั้นกว้างประมาณ 1 วา ปรากฏให้เห็นเป็นแห่งๆไป  ตลอกแนวไม่มีต้นหญ้าสูงขึ้นเลย   ส่วนบ้านดอนข่าในปัจจุบันอยู่ที่ ต.บ้านพราน อ.ขุนหาญ เดิมชื่อว่าบ้านออรอง  เป็นภาษาเขมร แปลว่าบ้านพระเจ้าแผ่นดินใจดี  สำหรับบ้านพรานเดิมชื่อภาษาเขมรว่า ซอกเปรียน แปลว่า บ้านของนายพราน (คณะกรรมการฝ่ายประมวลเอกสารและจดหมายเหตุ, 2544 : หน้า 161)

[2983/0][2015-05-29]

น้ำตกห้วยจันทร์ เป็นน้ำตกที่สวยงาม ไหลลดหลั่นมาตามชั้นหิน มีน้ำตลอดปี บริเวณโดยรอบร่มรื่นด้วยพันธุ์ไม้ป่านานาชนิด เหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจช่วงที่มีน้ำมาก จะเต็มไปด้วยชาวบ้านและลูกหลานที่พากันมาเล่นน้ำ ในบริเวณน้ำตกมีร้านอาหารประเภทส้มตำ น้ำตก ลาบ ขายด้วย

[2101/0][2015-05-29]

ปราสาทปรางค์กู่ ปราสาทปรางค์กู่ เป็นศาสนสถานสมัยขอมที่เก่าแก่มาก มีอายุกว่าพันปีมาแล้ว ด้านหน้าปรางค์กู่มีสระน้ำขนาดใหญ่เป็นทำเลพักหากินของนกเป็ดน้ำ 

[2425/0][2015-05-29]

ปราสาทตาเล็ง ปราสาทตราเล็ง ตั้งอยู่ที่ บ้านปราสาท อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ ลักษณะเป็นปรางค์องค์เดียวตั้งอยู่บนฐานองค์ปรางค์ ผนังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมุมไม้สิบสองหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ผนังด้านหน้าและผนังด้านข้างบางส่วน มีประตูเข้าได้เพียงประตูเดียวด้านหน้า อีกสามด้านเป็นประตูหลอก ที่สำคัญคือเสาติดผนังของประตูหน้าทั้งสองข้างยังคงมีลวดลายก้านขดสลักเต็มแผ่นอย่างสวยงาม สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16-17

[2097/0][2015-05-29]

อ่างเก็บน้ำห้วยศาลา ศรีสะเกษ อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่ล้อมรอบไปด้วยเทือกเขาพนมดงรัก นอกจากนี้ตายังเป็นเส้นทางที่เหมาะแก่การขับรถชมทิวทัศน์อ่างเก็บน้ำที่สวยงามอีกด้วย

[4452/0][2015-05-29]

ปราสาทหินวัดสระกำแพงใหญ่ ปราสาทหินวัดสระกำแพงใหญ่แห่งนี้ ในบริเวณปราสาทมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุจำนวนมากเช่น ทับหลังจำหลักลวดลายต่างๆ พระพุทธรูปนาคปรก พระพุทธรูปปางสมาธิ พระพิมพ์ดินเผาและประติมากรรมทวารบาลสำริด ปราสาทหินวัดสระกำแพงใหญ่สร้างขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 16 เพื่อเป็นเทวาลัยถวายแด่พระศิวะ และได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนาในลัทธิมหายานเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 18  และปราสาทขอมที่มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์ที่สุดเป็นปรางค์ 3 องค์บนฐานเดียวกัน เรียงกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ หันหน้าไปทางทิศตะวันออก ปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง ก่อด้วยหินทราย มีอิฐแซมบางส่วน มีทับหลังจำหลักภาพพระอินทร์ทรงช้างบนแท่นเหนือหน้ากาล ส่วนปรางค์อีก 2 องค์เป็นปรางค์อิฐ ด้านหลังของปรางค์องค์ทิศใต้มีปรางค์ก่อด้วยอิฐอีกองค์หนึ่ง หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเช่นเดียวกัน   นอกจากปรางค์ทั้งสี่องค์นี้แล้ว ด้านหน้าของปรางค์องค์รอบสององค์ มีวิหารก่อด้วยอิฐด้านละหนึ่งหลังหันหน้าเข้าหาปรางค์ทั้งสององค์ สิ่งก่อสร้างทั้งหมดล้อมรอบด้วยระเบียงคดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่อด้วยศิลาแลงและศิลาทราย กว้าง 45 เมตร ยาว 62 เมตร มีโคปุระหรือซุ้มประตูทั้งสี่ทิศจากการขุดแต่งปราสาทแห่งนี้เมื่อปี พ.ศ. 2531-2533 ได้พบโบราณวัตถุจำนวนมาก และรวมทั้งจารึกที่ประตูด้านทิศตะวันออก ทำให้สันนิษฐานได้ว่า ปราสาทสระกำแพงใหญ่ สร้างขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16 ตรงกับศิลปะแบบบาปวน (ราว พ.ศ. 1550-1650) เพื่อเป็นเทวาลัยถวายพระศิวะตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ลัทธิไศวะนิกาย และได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นวัดในพุทธศาสนานิกายมหายานในพุทธศตวรรษที่ 18

[5530/0][2015-05-29]

ปราสาทบ้านปราสาท ศรีสะเกษ ปราสาทแห่งนี้มีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที่ 16 และได้รับการดัดแปลงในสมัยต่อมาดังจะเห็นได้จากลักษณะทางด้านศิลปกรรมของทับหลังที่ปรากฏอยู่ นอกจากนั้นปรางค์สององค์ที่ขนาบข้างยังถูกดัดแปลงรูปแบบไปมากโดยเฉพาะส่วนหลังคาและประตูซึ่งถูกก่อทึบหมดทุกด้าน ลักษณะเป็นปรางค์สี่เหลี่ยมย่อมุมทรงแหลมเรียวรีลดหลั่นจากส่วนฐานจนถึงยอด ไล่เลี่ยกัน 3 องค์ ตั้งอยู่บนฐานศิลาแลงเดียวกัน ในแนวเหนือ-ใต้ ปรางค์องค์กลางมีขนาดใหญ่กว่าปรางค์อีก 2 องค์ที่ขนาบข้างเล็กน้อย แต่ส่วนหลังคาจะเตี้ยกว่า ปรางค์ทิศเหนือและทิศใต้สูงประมาณ 15 เมตร องค์กลางสูงประมาณ 13 เมตร

[2118/0][2015-05-29]

ผามออีแดง ผามออีแดง ตั้งอยู่ที่ อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ตำบลเสาธงชัย อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ มีลักษณะเป็นลานหินธรรมชาติริมหน้าผาสูง ติดเขตแดนไทย-กัมพูชา เป็นจุดชมทัศนียภาพทิวเขาพนมดงรัก แผ่นดินเขมรต่ำ และสามารถมองเห็นปราสาทเขาพระวิหารและผามออีแดงมีวิหารประดิษฐานพระพุทธรูปนาคปรก และทางด้านทิศใต้ซึ่งเป็นหน้าผาที่อยู่ต่ำลงไปมีภาพสลักหินนูนต่ำศิลปะเขมรอายุราวพุทธศตวรรษที่ 15 สันนิษฐานว่าเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย บริเวณผามออีแดง มีภาพแกะสลักนูนต่ำเป็นภาพคน 3 คน ในเครื่องแต่งกายแบบชาวกัมพูชา สร้างขึ้นก่อนปราสาทเขาพระวิหาร ราวกลางศตวรรษที่ 11 อายุประมาณ 1,500 ปี มีโบราณวัตถุ (พระพุทธรูปนาคปรก) บริเวณจุดสูงสุดของผามออีแดงสามารถมองเห็นทัศนียภาพของปราสาทเขาพระวิหารได้อย่างชัดเจน

[2420/0][2015-05-29]

บิ๊กซี ศรีสะเกษ

[1096/0][2015-05-29]