วิมานพญาแถน พญาคันคาก ถ้าพูดถึงเรื่องตำนาน ที่ยโสธรก็มีเรื่องเล่ามากมาย ที่นี้เป็นอีกที่ ที่มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ประเพณี ศาสนา ความเชื่อต่างๆ ความเชื่อนั้นคือ คนยโสธรคิดว่าโลกนั้นมี ทั้งโลกมนุษย์ โลกเทวดา และโลกบาดาล โดยโลกมนุษย์อยู่ภายใต้การดูแลของโลกเทวดาซึ่งขาวอีสานเรียกเทวดาว่า พญาแถน ซึ่งพญาแถนส่งผลต่อ ดิน ฟ้า อากาศ ลม หากมนุษย์ทำให้พญาแถนพอใจ ก็จะบันดาลให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล  จึงเกิดพิธีการบูชาพญาแถนโดยการใช้บั้งไฟ เพื่อแสดงการเคารพและบูชาพญาแถน อันเป็นที่มาของประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธรอันโด่งดัง เขาเล่าว่า ตำนานที่ 1 เมื่อครั้ง พระโพธิสัตว์ เสวยชาติเป็น พญาคันคาก หรือ พญาคางคก ในครั้งนั้น พญาแถน เทพผู้ดลบันดาล ให้ฝนตก โกธรเคืองมนุษย์และสัตว์โลก จึงสาปแช่งไม่ให้มีฝนตกมายังโลกนานเป็นเวลาเจ็ดปี เจ็ดเดือน เจ็ดวัน ทำให้เกิดความแห้งแล้ง มนุษย์และสัตว์ล้มตายจำนวนมาก มนุษย์จึงได้เข้าเฝ้า พระโพธิสัตว์พญาคันคาก ขอความช่วยเหลือจาก พญาคันคาก จึงได้ไปรบกับ พญาแถน โดยให้พญาปลวกก่อจอมปลวกสู่เมืองสวรรค์ มีบริวารพญาแมงงอด แมงเงาเจ้าแห่งพิษ พญานาคี พญามอด พญาต่อแตน มาช่วยรบ พญาแถนยอมแพ้ จึงดลบันดาลให้ฝนตก"   นอกจากนี้ยังสัญญาอีกว่า เมื่อมวลมนุษย์ต้องการให้ฝนตกครั้งต่อไปก็ให้จุดบั้งไฟขึ้นไปเมืองสวรรค์ พญาแถน ก็จะให้ฝนตกลงมา หากฝนเพียงพอก็ให้เสียงกบ เขียดร้อง เมื่อพญาแถนได้ยินเสียงก็จะให้ฝนหยุด ซึ่งเป็นฤดูเก็บเกี่ยว ประเพณีบุญบั้งไฟจึงถือกำเนิดตั้งแต่นั้นมา   เขาเล่าเว่า ตำนานที่ 2   ณ เมืองอินทะปัตถานคร มีพญาเอกราชปกครองประชาราษฎร์ด้วยหลักทศพิธราชธรรม เคารพและบูชาพญาแถนอยู่เสมอ ต่อมาพระมเหสีมีพระโอรสชื่อ พญาคันคาก มีรูปโฉมอัปลักษณ์ผิวพรรณตะปุ่มตะปั่มคล้ายคางคก แต่ด้วยความเพียรพยายามปฏิบัติธรรม เป็นผู้ทรงทศพิธราชธรรมและขึ้นครองราชย์ในเวลาต่อมา ทำให้บุคลิกภาพแปรเปลี่ยนมีรูปโฉมงดงาม ประชาชนเคารพยกย่องสรรเสริญ จนลืมบวงสรวงพญาแถน    ขณะเดียวกัน ณ เมืองเชียงเหียน อันมีพระยาขอมเป็นเจ้าครองนคร ซึ่งมีธิดาที่สวยงดงามชื่อ นางไอ่ เป็นที่หมายปองของท้าวภังคีซึ่งเป็นโอรสของพญานาคแห่งแม่น้ำโขง แต่ก็ปรากฏเหตุการณ์บางอย่างซึ่งท้าวภังคีเสียชีวิตเพราะนางไอ่ทำให้พญานาคโกรธมากและใช้อิทธิฤทธิ์ถล่มเมืองเชียงเหียนจนล่มจม แม้มีนายผาแดงพานางไอ่ขึ้นนั่งบนหลังมาหลีกหนีจนพ้นอันตราย  แต่พญานาคก็ตามทันและใช้หางตวัดทำร้ายจนนางไอ่เสียชีวิต ฝ่ายพญาแถนรับรู้เรื่องราวจึงไม่ยอมให้พญานาคขึ้นไปเล่นน้ำในสระโบกขรณีบนฟ้าเช่นเคย     น้ำในสระดังกล่าวจึงนิ่งไม่ล้นหรือกระฉอกลงสู่พื้นดิน จึงทำให้บังเกิดความแห้งแล้งแก่โลกมนุษย์และสรรพสัตว์ ดังนั้นพญาคันคาก(คางคก) จึงยกทัพไปรบกวนพญาแถนและบังคับให้พญาแถนปฏิบัติเช่นเคยทุกๆ ปีและทุกๆ เดือนหก ซึ่งพญาแถนก็ยินยอมโดยให้พญานาคขึ้นไปเล่นน้ำที่สระโบกขรณีเช่นเคย โดยมีเงื่อนไขว่าต้องการฝนตกเมืองใดให้พญาคันคากส่งบั้งไฟไปบอกเมื่อนั้น พญาแถนก็จะปล่อยฝนมาทันทีและตลอดเดือนเพื่อให้เกษตรกรได้ทำนาและเพาะปลูกตามฤดูกาล

[1717/0][2017-06-28]

สวนสาธารณะพญาแถน สวนสาธารณะพญาแถน ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง ริมถนนแจ้งสนิท (ทางหลวงหมายเลข 23) ติดกับอ่างเก็บน้ำลำทวน ภายในสวนพญาแถนมีลำน้ำเล็กๆ คดเคี้ยวล้อมรอบพื้นที่ 18 ไร่ 2 งาน 57 ตารางวา บริเวณโดยรอบประกอบด้วยสวนไม้ดอก ไม้ประดับ สังคีตศาลา (เวทีการแสดงกลางแจ้ง) สนามเด็กเล่น และสวนสุขภาพ ทางเทศบาลกำหนดให้สวนพญาแถนเป็นสถานที่จัดงานบั้งไฟประจำปี (พญาแถนเป็นชื่อ ของเทพเจ้าแห่งฝนตามความเชื่อของชาวอีสานว่าเมื่อถึงเดือนหกอันเป็นเดือนต้นฤดูฝน จะต้องทำบั้งไฟจุด ขึ้นไปบนท้องฟ้าถวายพญาแถน ฝนจะได้ตกต้องตามฤดูกาล) นอกจากนี้ยังใช้เป็นสถานที่จัดงานแข่งเรือสั้น ประจำปี และงานสงกรานต์ เมื่อปี พ.ศ. 2525 สวนแห่งนี้ยังได้รับรางวัลสวนสาธารณะดีเด่น ประจำภาค 3 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย

[3798/4][2015-05-29]

วัดมหาธาตุ ยโสธร วัดมหาธาตุยโสธร ตั้งอยู่ภายในเขตเทศบาลเมือง เป็นวัดคู่ยโสธรมาตั้งแต่สร้างเมือง (บ้านท่าสิงห์เดิม) โบราณสถาน ที่สำคัญในวัดมี 2 แห่ง คือ พระธาตุยโสธร(พระธาตุอานนท์) และ หอไตร พระธาตุอานนท์ วัดมหาธาตุ มีเจดีย์เก่าสมัยขอม อยู่ในทุ่งนา ตำบลตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร ไปตามทางหลวงหมายเลข 23 (ยโสธร-อุบลราชธานี) ประมาณหลักกม.ที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กม. พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23-25 ตรงกับสมัยอยุธยา ตอนปลาย ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาในเขตตำบลตาดทอง พระธาตุยโสถร (พระธาตุอานนท์) ตั้งอยู่หน้าอุโบสถ เป็นพระธาตุรุ่นเก่าที่สำคัญองค์หนึ่งในภาคอีสาน เจดีย์ทรงสี่เหลี่ยมส่วนยอดคล้ายพระธาตุพนม ภายในพระธาตุบรรจุอัฐิธาตุของพระอานนท์ การก่อสร้างได้รับอิทธิพลศิลปะลาวที่นิยมสร้างขึ้นเมื่อปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ นอกจากนี้บริเวณด้านหลังพระธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝน จะแล้งในปีนั้น เรียกกันว่า พระแก้วหยดน้ำค้าง (หรือพระพุทธบุษยรัตน์)เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะสมัยเชียงแสน เป็นพระบูชาคู่บ้านคู่เมืองของยโสธรที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดเกล้า ฯ พระราชทานให้พระสุนทรราชวงศาเจ้าเมืองยโสธรคนแรก หอไตร เป็นที่เก็บคัมภีร์ใบลานของวัด ตั้งอยู่ตรงกลางสระทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระธาตุ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ลักษณะแบบหอไตรภาคอีสานทั่วไป มีทางเดินโดยรอบติดกันใต้ชายคา บริเวณนี้เป็นที่เก็บรักษาตู้พระธรรม หีบพระธรรม เสลี่ยงชั้นวางคัมภีร์ซึ่งนำมาจาก เวียงจันทน์ มีซุ้มประตู และบานประตูไม้สลักลวดลายเครือเถาลงรักปิดทองอย่างสวยงาม มีลวดลายการตกแต่ง ฝาผนัง ซึ่งเป็น ลักษณะผสมแบบภาคกลางทำให้กล่าวได้ว่า หอไตรน่าจะสร้างขึ้นประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 แห่งกรุง รัตนโกสินทร์

[5757/9][2015-05-29]

พระธาตุก่องข้าวน้อย พระธาตุก่องข้าวน้อย เป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม ตั้งอยู่ในทุ่งนา ตำบลตาดทอง อำเภอเมืองยโสธร ไปตาม ทางหลวงหมายเลข23 (ยโสธร อุบลราชธานี) ประมาณหลักกม.ที่ 194 เลี้ยวซ้ายไปอีก 1 กม. พระธาตุก่องข้าวน้อยเป็นเจดีย์เก่าสมัยขอม สร้างในพุทธศตวรรษที่ 23 ตรงกับสมัยอยุธยา ตอนปลาย ตั้งอยู่ในเขตวัดพระธาตุก่องข้าวน้อย ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงทุ่งนาในเขตตำบลตาดทอง พระธาตุก่องข้าวน้อย เป็นเจดีย์ก่ออิฐถือปูน รูปทรงแปลกไปจากเจดีย์โดยทั่วไป คือมีลักษณะเป็น ก่องข้าว องค์พระธาตุเป็นเจดีย์ เหลี่ยมย่อมุมไม้สาม ฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างด้านละ 2 เมตร ก่อสูงขึ้นไปประมาณ 1 เมตร ช่วงกลางของ องค์พระธาตุมีลวดลายทำเป็นซุ้มประตูทั้งสี่ด้าน ถัดจากช่วงนี้ไปเป็นส่วนยอดของเจดีย์ที่ค่อยๆ สอบเข้าหากัน เป็นส่วนยอดรอบนอกของ พระธาตุก่องข้าวน้อยมีกำแพงอิฐล้อมรอบขนาด 5x5 เมตร สภาพโดยทั่วไป ในปัจจุบันนี้องค์พระธาตุ ชำรุดทรุดโทรม ปูนส่วนใหญ่ที่โบกไว้โดยรอบกะเทาะออกเกือบหมด และเห็นอิฐ ที่ใช้ก่อได้อย่าง ชัดเจน ส่วนยอดของพระธาตุก็หักพังลงมาก นอกจากนี้บริเวณด้านหลังพระธาตุมีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งก่อด้วยอิฐ ชาวบ้านนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก และในเดือนห้าจะมีผู้คนนิยมมาสรงน้ำพระและปิดทอง ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าไม่ทำเช่นนี้ฝนจะแล้งในปีนั้น พระธาตุก่องข้าวน้อยมีประวัติความเป็นมาที่น่าสนใจ ซึ่งผิดไปจากปูชนียสถานแห่งอื่นๆ ที่มักเกี่ยวพันกับ เรื่องพุทธศาสนา แต่ประวัติความเป็นมาของพระธาตุก่องข้าวน้อย กลับเป็นเรื่องของหนุ่มชาวนาที่ทำนา ตั้งแต่เช้าจนเพล มารดาส่งข้าวสายเกิดหิวข้าวจนตาลายอารมณ์ชั่ววูบทำให้เขากระทำมาตุฆาตด้วยสาเหตุ เพียงว่าข้าวที่เอามาส่งดูจะน้อยไปไม่พอกิน ครั้นเมื่อกินข้าวอิ่มแล้ว ข้าวยังไม่หมดจึงได้สติคิดสำนึกผิดที่ กระทำรุนแรงต่อมารดาของตนเองจนถึง แก่ความตาย จึงได้สร้างพระธาตุก่องข้าวน้อยแห่งนี้ขึ้น เพื่อเป็น การอุทิศส่วนกุศลขออโหสิกรรม และล้างบาปที่ตนกระทำมาตุฆาต นอกจากนี้ที่บริเวณบ้านตาดทอง กรมศิลปากรได้ดำเนินการขุดค้นเรื่องราวของมนุษย์สมัยก่อนประวัติ ศาสตร์ ได้ค้นพบโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ และภาชนะลาย เขียนสีแบบบ้านเชียงซึ่งกรม ศิลปากรกำลังดำเนินการจัดตั้งอุทยานก่อนประวัติศาสตร์ขึ้น

[5189/11][2015-05-29]

โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ โบสถ์คริสต์บ้านซ่งแย้ มีประวัติเล่าสืบกันมาว่าในปี ค.ศ.1908 มีผู้หนีตายอพยพจากที่ต่างๆกันเข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้รวม 5 ครอบครัว ซึ่งหนีมาด้วยสาเหตุเดียวกัน คือ ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ ชาวบ้านในหมู่บ้านจึงรุมทำร้ายและขับไล่ จากนั้นได้เดินทางไปหาบาทหลวงเดชาแนล และบาทหลวงออมโบรซีโอ ที่บ้านเซซ่ง ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ขอให้ไปช่วยขับไล่ผีปิศาจที่สิงสู่อยู่กับตนและครอบครัว ซึ่งบาทหลวง ทั้ง 2 ท่าน ก็ยอมเข้าป่าลึกไปตามคำขอ เมื่อรู้สึกดีขึ้น ทั้ง 5 ครอบครัว จึงเข้านับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ต่อมาบ้านหนองซ่งแย้ มีผู้คนอพยพไปอยู่มากขึ้น ในปี ค.ศ. 1909 ชาวบ้านปลูกกระต๊อบ ฝาขัด แตะเล็กๆ ใช้ประกอบพิธีทางศาสนา นับว่าเป็นจุดกำเนิดวัดซ่งแย้ หรือชื่ออย่าง เป็นทางการ เป็นภาษาละตินว่า วัดอัครเทวดามิคาแอล

[4296/4][2015-05-29]

ประเพณีแห่มาลัยข้าวตอก กิจกรรม ชมการประกวดขบวนรถตกแต่งมาลัยสวยงามจากชุมชนหมู่บ้าน และส่วนราชการต่างๆ การประกวดมาลัยสวยงาม (มาลัยเด่น) การประกวดมาลัยจำลองสวยงาม (มาลัยจิ๋ว) ชมการแสดงบนเวทีกลาง ชมการสาธิตการร้อยมาลัยข้าวตอก กำหนดการจัดงานประเพณีแห่มาลัยประจำปี 2554 เทศบาลตำบลฟ้าหยาด อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร วันที่ 15 17 กุมภาพันธ์ 2554 วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2554 09.00 น. 18.00 น. – การประกวดรถตกแต่งมาลัยสวยงามจากหน่วยราชการและชุมชนต่างๆ การประกวดมาลัยสวยงาม (มาลัยเด่น) 18.00 น. 24.00 น. – การแสดงบนเวทีกลาง – การประกวดมาลัยจำลองสวยงาน (มาลัยจิ๋ว) – การประกวดธิดามาลัยประจำปี 2553 วันพุธที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 09.00 น. 22.00 น. – ชมขบวนรถตกแต่งมาลัยสวยงาม – พวงมาลัยสวยงาม (มาลัยเด่นและมาลัยจิ๋ว) – ชมการแสดงบนเวทีกลาง วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2554 07.00 น. 09.00 น. – ร่วมทำบุญตักบาตร ณ สนามที่ว่าการอำเภอมหาชนะชัย 09.00 น. 16.00 น. – ชมขบวนรถตกแต่งมาลัยสวยงาม – พวงมาลัยสวยงาม (มาลัยเด่นและมาลัยจิ๋ว) – ชมการสาธิตการร้อยมาลัยข้าวตอก – ชมขบวนรถแห่มาลัยข้าวตอกและร่วมแห่มาลัยข้าวตอกไปทอดถวายวัด 15.00 น. – พิธีเปิดงานประเพณีแห่มาลัย 16.00 น. – 17.30 น. – ชมขบวนรถแห่มาลัยข้าวตอกและร่วมแห่มาลัยข้าวตอกไปทอดถวายวัด ข้อมูลจาก1081009.tourismthailand.org

[1617/0][2015-05-29]

ชวนชม ๕ งานบุญบั้งไฟ ที่ใจกลางภาคอีสาน นายนพรัตน์ กอกหวาน ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานขอนแก่นเปิดเผยว่า งานประเพณีบุญบั้งไฟ ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่นของชาวอีสานที่จัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม มิถุนายน หรือเรียกว่า “ บุญเดือนหก ” เพื่อบูชา “ พญาแถน ” เทพเจ้าแห่งฝน โดยมีกิจกรรมหลัก ๒ กิจกรรม คือ การจัดขบวนเซิ้ง (ฟ้อน) บั้งไฟเอ้หรือบั้งไฟที่ประดับตกแต่งอย่างงดงามแฝงไว้ด้วยเรื่องราวของตำนานพื้นบ้านท้าวผาแดง นางไอ่ และสงครามระหว่างพญาคันคากกับพญาแถน และกิจกรรมจุดบั้งไฟขึ้นสูงเพื่อบูชาพญาแถน ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามความจุของดินประสิว เช่น บั้งไฟหมื่น (ความจุ ๑๒ กิโลกรัม) บั้งไฟแสน (ความจุ ๑๐ หมื่น หรือ ๑๒๐ กิโลกรัม) และบั้งไฟล้าน (ความจุ ๕๐๐ กิโลกรัมขึ้นไป) และในพื้นที่ใจกลางภาคอีสาน มีงานประเพณีบุญบั้งไฟที่จัดอย่างต่อเนื่องและงดงามยิ่งใหญ่ รวม ๕ งาน ซึ่งผู้มาเยือนนอกจากจะได้ศึกษาขนบธรรมเนียมพื้นบ้านอันงดงามและสนุกสนานแล้ว ยังจะได้อิ่มบุญกับเส้นทาง “ ไหว้พระธาตุอีสาน ๔ เมือง รุ่งเรืองตลอดชีวิต ” และชมแหล่งท่องเที่ยวหลากหลายประเภทตามเส้นทางอย่างคุ้มค่า งานบุญบั้งไฟ ณ ใจกลางภาคอีสานทั้ง ๕ งาน ข้อมูลและรูปภาพจาก tatnewsthai.org

[1239/0][2015-05-29]

งานประเพณีบุญบั้งไฟ ปี 2555 การประกวดแห่เซิ้งบั้งไฟและบั้งไฟสวยงาม บั้งไฟนานาชาติ การจุดบั้งไฟ ณ ฐานจุดบั้งไฟ สวนสาธารณะพญาแถน

[1773/1][2015-05-29]

บ้านศรีฐาน เป็นหมู่บ้านในเขตตำบลศรีฐาน อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร หลังฤดูทำนาชาวบ้านทุกครัวเรือนมีอาชีพทอผ้าและทำหมอนขิต นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมและซื้อหมอนขิตไว้เป็นของที่ระลึก ซึ่ได้รับความนิยมอย่างมาก และกลายเป็นสินค้าส่งออก จัดได้ว่าเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนที่ให้รายได้เป็นอันดับ 2 รองจากการทำนา  จำหน่าย หมอนขิด เบาะรองนั่้ง ที่นอนระนาด หมอนอิง หมอนสามเหลี่ยม

[3813/0][2015-05-29]

ภูถ้ำพระ ยโสธร ที่มาของภูถ้ำพระเนื่องจากมีพระพุทธรูปอยู่ในถ้ำจำนวนมาก ล้วนแต่เป็นพระพุทธรูปโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้นถ้ำพระนี้เป็นถ้ำใหญ่ ตั้งอยู่ชะง่อนภูด้านทิศใต้ มีทางเข้าไป ตามซอกหินเป็นอุโมงค์ จากปากถ้ำเลยไปทางทิศเหนือ สามารถเดินลอดไปได้อย่างสบายบรรยากาศร่มเย็นและร่มรื่นไปด้วยป่าไม้หนาทึบแล้ว บริเวณโดยรอบยังมีถ้ำ อื่นๆ อีก อาทิ ถ้ำเค็ง ถ้ำงูซวง ถ้ำเกลี้ยง และถ้ำพรหมบุตร

[2125/0][2015-05-29]

กู่จาน พระธาตุกู่จาน โบราณสถานเป็นเจดีย์ทรงบัวเหลี่ยม มีรูปทรงแบบธาตุอีสานทั่วไป โดยสร้างตามแบบ พระธาตุพนมแต่ขนาดเล็กกว่า ฐานล่างเป็นฐานบัวคว่ำ บัวหงายเตี้ยๆ รอง รองรับฐานสูงรูปสี่เหลี่ยมเรียบๆ ต่อด้วยองค์เรือนธาตุทรงบัวเหลี่ยม ประดับลวดลาย และยอดธาตุบัวเหลี่ยม รองรับฉัตรซึ่งเป็นยอดบนสุด พระธาตุกู่จาน คงสร้างขึ้นตามคตินิยมแบบเดียวกับสร้างพระธาตุทั่วไป คือ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากรูปแบบของพระธาตุซึ่งได้รับอิทธิพลทางรูปแบบจากพระธาตุพนม สันนิษฐานว่าคงจะสร้างขึ้นในระหว่างพุทธศตวรรษ

[2854/0][2015-05-29]

ดงเมืองเตย ดงเมืองเตย เป็นสถานที่น่าสนใจของอำเภอคำเขื่อนแก้ว บริเวณโดยรอบดงเมืองเตยมีซากวัด สระน้ำ กำแพงเมืองปัจจุบันได้ชำรุดลงไปมากแล้ว แต่ยังพอมีเค้าโครงเดิมอยู่บ้าง สันนิษฐานได้ว่าเดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณสมัยเจนละ-ทวารวดี จากข้อความที่พบในจารึกของกษัตริย์เจนละ แสดงให้เห็นว่าโบราณสถานแห่งนี้สร้างขึ้นเป็นศาสนสถาน ในศาสนา พราหมณ์ที่นับถือพระศิวะ ในช่วงเวลานั้น บริเวณดงเมืองเตย รวมทั้งชุมชนใกล้เคียง ก็คงจะเคยเป็นเมืองที่ มีชื่อว่า "ศังขะปุระ" ซึ่งคงจะมีความสัมพันธ์ในฐานะเมืองในปกครอง ของอาณาจักรเจนละ ซึ่งก็คือ อาณาจักรขอมในสมัยต่อมาที่แผ่อำนาจเข้ามาในเขตลุ่มแม่น้ำมูล-ชี  ลำดับอายุสมัยของเมืองโบราณดงเมืองเตย อายุสมัยที่ 1 สันนิษฐานว่าเป็นการเข้ามาอยู่อาศัยในช่วงเริ่มแรกของสมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือเมื่อประมาณ 2,500 ปีมาแล้ว จากหลักฐานที่พบได้แสดงให้เห็นพัฒนาการของคนในชุมชนนี้ที่สามารถผลิตภาชนะดินเผาใช้เองได้ มีการใช้หวานหินขัด และพบหลักฐานการถลุงโหละ ได้แก่ ร่องรอยกระบอกอัดลมสองสูย ชั้นดินที่มีถ่านปะปนกระจายอยู่ทั่วไปและพบชิ้นส่วนตะกรันโลหะ อายุสมัยที่ 2 ชุมชนแห่งนี้ได้มีการติดต่อกับชุมภายนอกและรับวัฒนธรรมจากภายนอกเข้ามา โดยภาชนะดินเผาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ก็มีรูปแบบเช่นเดิมแต่มีการปรับเปลี่ยนลักษณะการตกแต่ง ดังจะเห็นจากหลักฐานที่พบภาชนะดินเผาที่มีการตกแต่งด้วยการเขียนสีขาวบริเวณขอบปากเป็นเส้นตั้งสั้นๆ ซึ่งคล้ายกับที่พบบริเวณแหล่งโบราณดีลุ่มน้ำมูล - ชี และได้จัดเป็นภาชนะ ดินผาแบบร้อยเอ็ดแวร์หรือทุ่งกุลา อายุสมัยที่ 3 ชุมชนโบราณแห่งนี้ได้เข้าสู่ช่วงสมัยประวัติศาสตร์ประมาณพุทธศตวรรษที่ 12-13 ได้รับอิทธิพลและวัฒนธรรมภายนอกเข้า มีการติดต่อแลกเปลี่ยนสินค้า เทคโนโลยี วัฒนธรรมต่างๆ และยังคงมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลุงโลหะ สิ่งก่อสร้างสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากอาคารก่ออิฐไม่สอปูน ที่มีชิ้งส่วนประกอบและเริ่มรับพุทธศาสนาเข้ามาผสมผสานกับการนับถือผีฟ้า ผีแถน และปรากฎการณ์ธรรมชาติที่นับถือมาก่อน นอกจากนี้ยังได้รับประเพณีการฝังศพครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการฝังในภาชนะดินเผามากชุมชนบริเวณลุ่มน้ำมูล-ชี อายุสมัยที่ 4 มีการรับอิทธิพลของศาสนาฮินดูเข้ามาในอีสานแถมลุ่มแม่น้ำมูล-ชี ซึ่งได้เข้ามีบทบาทสำคัญเหนือวัฒนธรรมทรารวดี สอดคล้องกับที่เมืองโบราณแห่งนี้ ได้พบจารึกอักษรปัลลวะ ภาษาสันสกฤต ราวสมัยพุทธศตวรรษที่ 12-13 มีลักษณะคล้ายคลึงกับจารึ เย ธมุ มา สมัยทวารวดี จารึกได้กล่าวถึงเมืองศังขปุระ (อาจหมายถึงชุมชนโบราณดงเมืองเตย) และสายสกุลเสนะ โดยอาจหมายถึงพระเจ้าจิตเสนหรือเหนทรวรมัน ผู้ครองอาณาจักรละสมัยก่อนเมืองพระนคร ซึ่งสอดคล้องกับการขุดพบประติมากรรมรูปสิงห์ศิลปะขอมสมัยบาปวนที่สันนิษฐานว่าเป็นทวารบาลของโบราณสถานแห่งนี้

[4172/0][2015-05-29]

บิ๊กซี ยโสธร

[933/0][2015-05-29]

โรงเรียนก้าวหน้าคอมพิวเตอร์

[795/0][2015-05-29]

โรงเรียนกำแมดขันติธรรมวิทยาคม

[436/0][2015-05-29]

โรงเรียนกุดขุ่นสวาสดิ์

[452/0][2015-05-29]

โรงเรียนกุดชุมวิทยาคม

[603/0][2015-05-29]

โรงเรียนกู่จานวิทยาคม

[675/0][2015-05-29]

โรงเรียนค้อวังวิทยาคม

[385/0][2015-05-29]

โรงเรียนคำเขื่อนแก้ว

[626/0][2015-05-29]